รถไฟฟ้ามือสองที่น่าซื้อ
รถไฟฟ้ามือสอง BYD Atto 3
รถไฟฟ้า byd atto 3 ได้ครองยอดขายอันดับ 1 ในไทยไปแล้ว แน่นอนว่ามีหลายอย่างที่ทำให้ byd มือสอง คันนี้เป็นที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์รถภายในที่เหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินเจ็ท ราคาที่จับต้องได้ บวกกับระยะทางที่วิ่งได้สูงสุดที่ค่อนข้างเยอะ และเทคโนโลยีแบตเตอรีที่คนพูดกันหนาหูว่าดีจนเจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ขอให้ผลิตแบตให้เลยล่ะ
BYD ATTO 3 มือสอง รุ่น Extend range
- วิ่งได้ระยะทาง 480 กิโลเมตร
- ราคา 7แสนถึง 8แสนบาท
- ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อน 1 ตัว ขนาด 150 kW ติดตั้งที่ล้อหน้า
- พละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร
- ทำอัตราเร่งจาก 0-100 ได้ภายใน 7.3 วินาที
- ขนาดความจุของแบตเตอรีอยู่ที่ 60.48 kWh
รถยนต์ไฟฟ้า ORA Good Cat มือสอง
good cat มือสอง นับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสุดฮิตที่ถือว่าเห็นบนท้องถนนบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะดีไซน์ของ ORA Good Cat นั้นโดนเด่นไม่แพ้ใคร มีความหรูหรา แต่แฝงไปด้วยความคลาสสิกเหนือกาลเวลาภายใต้คอนเซ็ปต์ Retro Futuristic
บอกเลยว่าใครเห็น ora มือสอง ก็หลงรัก พิสูจน์ได้จากยอดจองครั้งแรกที่ปาไป 4,296 คัน ภายใน 24 ชม. นอกจากดีไซน์จะเป็นเหตุผลให้คนซื้อแล้ว สมรรถนะของ ORA Good Cat ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลให้คนตัดสินใจซื้อเช่นกัน
- วิ่งได้ไกลสูงสุด 500 กิโลเมตร
- ความเร็วสูงสุดของ ORA Good Cat อยู่ที่ 152-158 km/hr
- พละกำลังสูงสุด 143 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร
- อัตราเร่ง 0-100 km/h อยู่ที่ 8.84 วินาที | 80-120 km/h อยู่ที่ 5.94 วินาที
- แบตเตอรีลิเธียม Ternary (NMC) ความจุ 63.139 kWh
- รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (0 – 80%) 60 นาที
- รองรับการชาร์จแบบเร็วด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC (30 – 80%) 40 นาที
- ชาร์จด้วยไฟบ้านแบบ AC ใช้เวลา 10 ชั่วโมง
รถยนต์ไฟฟ้า NETA V มือสอง
neta มือสอง เป็น รถไฟฟ้ามือสองราคาถูก โดยเฉพาะเนต้าวีที่มาในรูปแบบครอสโอเวอร์ 5 ที่นั่ง เปิดตัวมาในราคาเพียง 549,000 บาทเท่านั้น ปัจจุบันจัดโปรลดราคาเหลือ 399,000 บาท แต่บอกเลยว่าทั้งรูปลักษณ์ภายนอก ภายใน และสมรรถนะ ถือว่าคุ้มราคาเกินราคาจริง ๆ
- เนต้าวี มือสอง พละกำลัง 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร
- ความเร็วสูงสุดประมาณ 120 km/hr
- ระยะทางในการขับขี่ 384 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง
- ขนาดแบตเตอรี่ 38.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง
- ชาร์จแบบปกติ Normal Charge (AC) 0%-100% ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง
- ชาร์จแบบเร็ว Quick Charge (DC) 30% – 80% ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
รถยนต์ไฟฟ้า MG ZS EV SUV มือสอง
mg ไฟฟ้าคันแรกของค่าย MG ที่โดดเด่นกว่าใครด้วยตัวถัง “สีฟ้า” มาพร้อมกับห้องโดยสารสุดคูล ระบบความปลอดภัยมาเต็ม ทั้งเตือนและควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ช่วยเตือนมุมอับสายตา ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เป็นต้น
ทางทีมทดสอบแล้วว่า mgไฟฟ้า อัตราเร่งดี ขับสนุก ไม่ต้องรอรอบ แถมราคายังจับต้องได้ อุปกรณ์แบบทันสมัยมาเต็มพิกัด ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ทั้งยังสามารถนอนในรถได้ ไม่มีมลพิษ หน้าตาอาจจะไม่ได้ต่างจากรุ่นธรรมดา และช่วงล่างนิ่มเกินไปหน่อย หากจำเป็นต้องเดินทางไกล ๆ ควรวางแผนดี ๆ
- ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 150 แรงม้า
- ระยะทางวิ่งสูงสุด 337 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
- ความเร็วสูงสุด 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- ประเภทแบตเตอรีเป็น Lithium-ion ความจุ 44.5 kWh
- รองรับการชาร์จไฟแบบ Normal Charge ใช้เวลา 6.5 ชั่วโมง
- รองรับการชาร์จไฟแบบ Quick Charge ที่ 80% ใช้เวลา 30 นาที
รถยนต์ไฟฟ้า MINI Cooper SE มือสอง
MINI Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้า EV 100% รุ่นแรกจากค่าย MINI โดดเด่นด้วยสีรถแบบทูโทน และยังมีสีเหลืองตัด ทำให้ดูเท่และแปลกตา มาพร้อมไฟท้ายรูปทรงของธง Union Jack ซึ่งเป็นธงชาติประจำประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร
มีโหมดการขับขี่มากถึง 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, MID, GREEN, และ GREEN+ รองรับหัวชาร์จทั้ง AC และ DC จอหลังพวงมาลัยแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร มีกล้องถอยหลัง เครื่องเสียง HARMAN KARDON เชื่อมต่อ APPLE CARPLAY ได้ มี Head-up Display ไฟภายในปรับได้ 12 สี
- ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 184 แรงม้า
- ระยะทางวิ่งสูงสุด 234-270 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
- ความเร็วสูงสุด 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- ประเภทแบตเตอรีเป็น Lithium-ion ความจุ 32.6 kWh
- รองรับการชาร์จไฟแบบ Quick Charge ที่ 80% ใช้เวลา 28 นาที
- สายชาร์จจาก MINI ELECTRIC Wallbox รองรับกำลังไฟได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ชาร์จถึง 80% ภายใน 2.5 ชั่วโมง และชาร์จเต็ม 100% ภายใน 3.5 ชั่วโมง
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า Honda e มือสอง
มาถึงรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง EV จากค่าย Honda อย่าง Honda e กันบ้าง บอกเลยว่าน่ารักมาก ๆ มีความญี่ปุ่น เป็นรถมินิมอลในใจใครหลายคน แค่เห็นก็รู้เลยว่าขับขี่สะดวก แถมมีให้เลือกหลายสี ระบบความปลอดภัยมาครบ! ไม่ว่าเป็นระบบกระจกมองข้างด้วยกล้อง (SCMS) แทนที่กระจกมองข้างทั่วไป, การควบคุมคันเร่งเพื่อลดการชน, ฟังก์ชันเบรกความเร็วต่ำ, ระบบแจ้งเตือนการออกจากรถยนต์ และยังมี Parking Pilot หรือระบบถอยจอดรถอัตโนมัติมาให้ด้วย สามารถบันทึกการเข้าจอดที่ประจำได้มากถึง 6 รูปแบบ เพียงกดปุ่มจอดที่บันทึกเอาไว้
ดูเหมือนเป็นรถคันเล็กสำหรับผู้หญิง แต่ความจริงแล้วรองรับถึง 4 ที่นั่ง พื้นที่บรรจุสัมภาระมากถึง 171 ลิตรเลยทีเดียว หากพับเบาะหลังยังบรรจุได้มากถึง 571 ลิตร ที่ชอบที่สุด คือ เข็ดนิรภัยสีน้ำตาล ใครสายมินิมอลคงหลงรักน่าดู
- ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 152 แรงม้า
- เร่งความเร็ว 0-100 กม./ชม. อยู่ในเวลา 8.3 วินาที
- ระยะทางวิ่งสูงสุด 274 กิโลเมตร
- ความเร็วสูงสุด 145 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- ประเภทแบตเตอรีเป็น Lithium-ion ความจุ 35.5 kWh
- รองรับการชาร์จไฟแบบ Quick Charge ที่ 80% ใช้เวลา 30 นาที
- ชาร์จไฟเต็มใช้เวลา 4.1 ชั่วโมงเมื่อใช้ที่ชาร์จแบบ AC ขนาด 4 กิโลวัตต์ และ 18.8 ชั่วโมงหากใช้ที่ชาร์จขนาด 2.3 กิโลวัตต์
ตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้ามือสอง
ก่อนควักเงินซื้อรถไฟฟ้า มือสอง มีอะไรหลายอย่างที่ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด มาดู6 ขั้นตอนสำคัญกัน
1. ตรวจสอบเอกสาร
- เล่มทะเบียนรถ
- ใบสรรพสามิต
- หลักฐานการเปลี่ยนเจ้าของ (ถ้ามี)
- ตรวจสอบเลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ ตรงกับเอกสาร
- ตรวจสอบว่ารถมีภาระผูกพันหรือไม่ เช่น จำนำ
2. ตรวจสอบสภาพตัวถัง
- ตรวจสอบรอยบุ๋ม รอยขีดข่วน รอยถลอก
- ตรวจสอบสภาพยางรถยนต์
- ตรวจสอบสภาพกระจก ไฟ หน้าต่าง
- ตรวจสอบรอยรั่ว ซึม ของเหลวต่างๆ
- สังเกตุว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุหนักหรือไม่
3. ตรวจสอบสภาพภายใน
- ตรวจสอบเบาะนั่ง หนัง พวงมาลัย ว่ามีรอยฉีกขาดหรือไม่
- ตรวจสอบแผงคอนโซล หน้าจอ วิทยุ ว่าใช้งานได้ปกติ
- ตรวจสอบระบบปรับอากาศ ว่าเย็นฉ่ำ ใช้งานได้ดี
- ตรวจสอบกลิ่นอับ กลิ่นเหม็น กลิ่นไหม้
- ตรวจสอบระบบไฟภายใน ว่าทำงานครบถ้วน
4. ตรวจสอบเครื่องยนต์
- ตรวจสอบเสียงเครื่องยนต์ ว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่
- ตรวจสอบควันจากท่อไอเสีย ว่าใส ไม่มีควันดำ
- ตรวจสอบน้ำมันเครื่อง ว่าใส ไม่มีตะกอน
- ตรวจสอบระบบต่างๆ ว่าทำงานปกติ
- แนะนำให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบเพิ่มเติม
5. ทดลองขับ
- สังเกตุการตอบสนองของรถ อัตราเร่ง
- ทดลองเบรก เลี้ยว เข้าโค้ง ว่าปกติหรือไม่
- ทดสอบระบบต่างๆ เช่น แอร์ วิทยุ กระจกไฟฟ้า
- สังเกตุเสียงผิดปกติภายในรถ
6. ตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ หัวใจสำคัญของรถ EV
หัวใจหลักที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเคลื่อนที่ได้นั่นก็คือ “แบตเตอรี่” ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้า การตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน เพื่อให้แน่ใจว่ารถของคุณจะมีการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย เราจะมาดูกันว่าคุณสามารถตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ของรถ EV ที่คุณเลือกได้อย่างไร
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์สภาพแบตเตอรี่: ปัจจุบันมีเครื่องมือหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อวัดและวิเคราะห์สภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยเครื่องมือเหล่านี้สามารถบอกได้ถึงระดับการชาร์จ, ความจุที่แบตเตอรี่สามารถเก็บได้, และการสูญเสียความจุตลอดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสภาพปัจจุบันของแบตเตอรี่ และคาดการณ์ได้ว่าคุณจะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เมื่อใด
- ตรวจสอบผ่านระบบจัดการแบตเตอรี่ของรถ (BMS): ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS) เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อควบคุมการชาร์จและการปล่อยประจุของแบตเตอรี่ BMS สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ได้อย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงอุณหภูมิ, แรงดันไฟฟ้า, และกระแสไฟฟ้า การตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของสภาพแบตเตอรี่ได้ดีขึ้น
- ระยะทางที่วิ่งได้: วิธีหนึ่งที่ง่ายและตรงไปตรงมาในการตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่คือการทดสอบการขับขี่จริง คุณสามารถตรวจสอบว่ารถของคุณสามารถวิ่งได้ไกลเพียงใดในการชาร์จหนึ่งครั้ง และเปรียบเทียบกับค่าที่ผู้ผลิตระบุไว้ หากคุณพบว่าระยะทางที่วิ่งได้น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ นั่นอาจเป็นสัญญาณของการลดลงของประสิทธิภาพแบตเตอรี่
- ใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชั่นหรือซอฟต์แวร์: หลายค่ายรถยนต์ไฟฟ้าได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นหรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสภาพและประสิทธิภาพของแบตเตอรี่จากระยะไกล คุณสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อเข้าถึงข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับแบตเตอรี่ของคุณ รวมถึงการแจ้งเตือนเมื่อต้องการการบำรุงรักษาหรือเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่
- ตรวจสอบด้วยเครื่องมือพิเศษ:
- แนะนำให้ใช้เครื่องมือพิเศษ เช็คค่า STATE OF HEALTH (SOH)
- ค่า SOH บ่งบอกถึงสุขภาพของแบตเตอรี่ ว่าเหลืออยู่เท่าไหร่
- ค่า SOH ที่ดีควรอยู่ที่ 80% ขึ้นไป
อ่านเพิ่มเติม