วิธีดูและเช็ครถมือสองเบื้องต้น

วิธีดูและเช็ครถมือสองเบื้องต้น

วิธีดูและเช็ครถมือสองเบื้องต้น จะซื้อรถมือสองสักคัน เราควรรู้วิธีดูและเช็ครถมือสองเบื้องต้นอย่างถูกต้องก่อนซื้อเพื่อให้คุ้มค่าที่สุด และไม่ให้โดนหลอก ดีไม่ดีอาจจะต้องซ่อมไม่รู้จบ

วิธีดูและเช็ครถมือสองเบื้องต้น

สอนวิธีดูและเช็ครถมือสองเบื้องต้น

ในการดูรถมือสองเบื้องต้น แนะนำให้ดู 11 จุดสำคัญนี้ ดังนี้

  1. ตัวรถ คือ สังเกตตัวรถตอนที่ยังจอดนิ่งบนพื้นราบ รถมือสองที่ดีจะต้องไม่เอียงไปข้างใดข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าเอียงแสดงว่าช่วงล่างอาจมีปัญหา อีกอย่างคือตัวถังต้องไม่มีรอยบุบ ช่องไฟระหว่างประตูก็ต้องเท่ากันด้วย หากไม่เท่าแสดงว่ารถคันนี้เคยถอดออกมาซ่อม
  2. สีรถ จำให้ขึ้นใจว่าเนื้อสีต้องมีความสม่ำเสมอ ไม่มีการเยิ้ม ไม่เป็นรอยย่นหรือเป็นคลื่น ไม่มีสีเข้มแค่จุดใดจุดหนึ่ง หากแยกไม่ออกให้ลองใช้มือเคาะตัวรถเบา ๆ ถ้ารถที่ผ่านการทำสีมาใหม่เสียงจะทึบ ๆ หน่อย แต่ถ้าไม่เคยทำสีมาก่อนเสียงจะโปร่ง ๆ
  3. ตะเข็บที่คาน แก้มข้าง ขอบประตู และท้ายรถ การดูตะเข็บของรถมือสอง จุดแรกให้ดูที่คาน จะอยู่ที่ด้านหน้าของรถ โดยให้เปิดฝากระโปรงขึ้นมาก่อน แล้วสังเกตหัวนอตว่ามีร่องรอยของการถอดไหม สีใหม่ผิดปกติหรือเปล่าจุดต่อไป คือ แก้มข้าง จะต้องมีรอยนูนที่เท่ากันทุกจุด ถ้าจุดไหนหายไปแสดงว่ารถเคยผ่านการซ่อมมาแล้ว และที่สำคัญคือตำแหน่งฝั่งซ้ายและขวาต้องตรงกันด้วยสองจุดสุดท้าย คือ ตะเข็บท้ายรถและขอบประตู (ดึงยางที่ขอบประตูออก) ให้เราดูที่รอยนูนว่ามีเท่ากันไหม รอยอาร์ค (รอยบุ๋มกลม ๆ ) ทั้ง 4 ประตูว่ามีครบหรือไม่ ถ้าไม่ครบแสดงว่าอาจจะซ่อมเพราะเคยชนมา
  4. นอตทุกจุด จุดที่พลาดไม่ได้ในการดูรถมือสอง คือ นอต ถ้าไม่มีรอยหมุนออกหรือเคยถูกถอดแสดงว่ารถมือสองคันนี้ไม่เคยถูกซ่อมมาก่อน จึงมั่นใจได้ว่ารถไม่เคยเกิดอุบัติเหตุหรือเคยชน
  5. เครื่องยนต์ และแบตเตอรี่ การเช็กเครื่องยนต์รถมือสอง ให้ลองฟังเสียงตอนสตาร์ตเครื่องว่าผิดปกติไหม มีกลิ่นไหม้หรือเปล่า เกจ์วัดรอบสวิงไปมาหรือไม่ สายพานที่ห้องเครื่องหย่อนไหม มีขี้เกลือขึ้นที่ขั้วแบตเตอรี่หรือเปล่า อย่าลืมตรวจสอบของเหลวและแบตเตอรี่ โดยของเหลวจะต้องไม่มีการรั่วซึมและอยู่ในระดับที่พอดี ไม่สูงหรือไม่ต่ำจนเกินไป ที่สำคัญคือต้องสีใส ไม่ดำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันเบรกก็ตาม อีกอย่างคือน้ำในหม้อน้ำจะต้องเต็มหรืออยู่ในระดับ FULL ตลอดเวลา ส่วนแบตเตอรี่ให้เช็กว่าเสื่อมหรือเปล่า โดยให้เช็กจากการที่เราบิดกุญแจเพื่อสตาร์ตรถ จะมีเสียงแชะนานขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนรถจะสตาร์ตติด หรือบางครั้งรถสตาร์ตไม่ติดถ้าเกิดอาการเช่นนี้แสดงว่าแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม ให้ทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่โดยด่วน
  6. เกียร์ ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ให้ลองให้เกียร์ D ดูว่ารถเคลื่อนที่ปกติไหม ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาให้ลองขับให้ครบทุกเกียร์ ถ้าเป็นรถมือสองที่ดีเกียร์ต้องไม่กระตุกหรือมีเสียงหอน
  7. ช่วงล่าง ขั้นแรกให้ลองใช้มือกดที่มุมหนึ่งของรถเพื่อดูว่าโช้คคืนตัวไวไหม อาจจะขอลองขับด้วยก็ได้ เพราะจะได้รู้ว่าเวลาเลี้ยวเป็นยังไง มีเสียงดังออกมาหรือเปล่า เบรกแล้วมีเสียงแปลก ๆ หรือไม่ ขึ้นลูกระนาดกระแทกแรงแค่ไหน
  8. ไฟรถ ดูให้ครบว่าติดทุกดวง ไม่มีดวงไหนขาด อย่าลืมเช็กไฟหรี่ว่าติดทั้งสองข้างหรือไม่ รวมถึงไฟเลี้ยวและไฟฉุกเฉินด้วย เพราะเป็นไฟที่สำคัญในการขับขี่มาก
  9. เลขไมล์ เลขไมล์หลอกกันได้ เพราะบางทีเขารับกรอเลขไมล์รถก่อนนำมาขายเป็นมือสองด้วย วิธีเช็กง่าย ๆ คือ ถ้ารถที่ใช้งานมาประมาณสัก 1 ปี เลขไมล์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 20,000 – 30,000 กิโลเมตร จึงเป็นไปได้น้อยที่รถผ่านการใช้งานมา 5-6 ปีจะมีเลขไมล์อยู่ที่ 50,000 – 60,000 กิโลเมตร แต่ไม่ได้หมายความว่ารถมือสองจะแอบกรอไมล์ทุกคัน เพราะเจ้าของบางคนก็จอดไว้มากกว่าขับ จึงไม่แปลกที่เลขไมล์จะน้อยนั่นเอง
  10. แอร์ พวงมาลัย และอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ ก่อนซื้อรถมือสองอย่าลืมตรวจสอบอุปกรณ์และส่วนประกอบภายในรถ แอร์ต้องเย็น ไม่มีกลิ่นเหม็น พวงมาลัยหมุนแล้วไม่ฝืดหรือค้าง ระบบล็อกรถ ปุ่มปรับ/เลื่อนกระจกทำงานได้ดี กลิ่นภายในห้องโดยสารต้องไม่อับ บริเวณพรมต้องไม่มีเชื้อราขึ้น ถ้ามีแสดงว่าเคยลุยน้ำท่วมมา
  11. เลขตัวถังและเล่มทะเบียนรถ สิ่งที่ทำให้รู้ว่ารถมือสองคันนี้ถูกโจรกรรมมาหรือไม่ มีการตัดต่อตกแต่งอะไรมาหรือเปล่า ให้เราดูที่เลขตัวถังของรถ ต้องชัดเจน ไม่มีร่องรอยการแก้ไข และตรงกับเล่มทะเบียนรถ แนะนำให้ตรวจสอบชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ รายการภาษี และรายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ด้วย จะได้รู้ประวัติรถว่ามีความเป็นมาอย่างไร

เรามาดูวิธีเช็ครถ BMW มือสอง ให้คุ้มค่าและใช้งานได้ยาว

วิธีดูและเช็ครถมือสองเบื้องต้น

1. เช็ก BSI กับเลขไมล์ก่อน

ในปัจจุบันนี้ การซื้อ BMW คันใหม่ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับ BSI (BMW Service Inclusive) ซึ่งเป็นแพ็กเกจเซอร์วิสจากทางศูนย์ BMW ที่ครอบคลุมการเปลี่ยนอะไหล่ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตลอดจนการเข้าศูนย์เพื่อเช็กระยะและบริการอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่ง BSI นี้ถือเป็นแพ็กเกจเอกซ์คลูซิฟสำหรับเจ้าของ BMW โดยเฉพาะ แต่จะไม่ใช่ประกันรถยนต์สำหรับ BMW

การคุ้มครองรถยนต์ BMW จะแตกต่างกันไปตามประเภท BSI ที่เลือกซื้อ หรือได้รับโปรโมชันจากศูนย์ เช่น BSI STANDARD จะครอบคลุมการดูแลรถยนต์แค่ 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร หรือ BSI ULTIMATE จะได้รับความคุ้มครองนานสูง 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

ดังนั้น หากใครกำลังพิจารณาเลือกซื้อ BMW มือสองอยู่ อย่าลืมตรวจสอบประเภทของ BSI ตลอดจนระยะความคุ้มครองที่ยังเหลือเอาไว้ให้ดี ซึ่งการมี BSI กับรถ BMW นี้ถือเป็นหนึ่งในข้อดีของ BMW มือสองเลยก็ว่าได้ ที่สำคัญ ห้ามลืมเช็กเลขไมล์และร่องรอยการกรอไมล์ทั้งหมดด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันการโดนโกง หรือได้รถยนต์เก่ามาหลอกขายในราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง

ข้อควรรู้ของ BSI:

BSI สำหรับรถยนต์ BMW สามารถถูกยกเลิกในกรณีที่ลูกค้านำรถยนต์ไปปรับแต่งจากบุคคลภายนอก และในกรณีที่มีความเสียหายอย่างหนักและราคาประเมินการซ่อมสูงกว่าทุนประกันรถยนต์

ดังนั้น แม้จะมี BSI เหลืออยู่ แต่อย่าลืมตรวจสอบประวัติความเป็นมาทั้งหมดของรถยนต์ให้ดี ทั้งนี้เพื่อไม่เป็นการพลาดสิทธิพิเศษ และการคุ้มครองรถยนต์จากทาง BMW นั่นเอง

2. ตรวจสอบตัวถังรถยนต์ให้ดี

หลังจากที่ตรวจสอบ BSI เพื่อดูประวัติของรถยนต์ ทั้งในเรื่องของการซ่อมบำรุงและการปรับแต่ง ตลอดจนเช็กถึงเลขไมล์ของ BMW แล้ว สิ่งต่อมาที่ทุกคนต้องตรวจสอบให้ดี คือ ตัวถังรถยนต์ BMW

เริ่มต้นจากการสังเกตสีรอยพ่นที่บริเวณขอบรถยนต์และขอบประตูก่อน พยายามมองหาสีที่มีการกระเทาะ หรือมีความแตกต่างจากสีในบริเวณอื่น ๆ จากนั้นจึงลองตรวจสอบความรู้สึกในการเปิด-ปิดประตู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่นที่สามารถดูดประตูได้อัตโนมัติ

เมื่อตรวจสอบบริเวณผิวทั่วตัวรถยนต์เรียบร้อย ลำดับถัดมาที่อยากให้พิจารณาให้ดี คือ จุดน๊อตตัวยึดที่บริเวณต่าง ๆ รอบตัวรถยนต์ ทั้งจากหม้อน้ำและกันชนด้านหน้า ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตรวจสอบให้ชัวร์ว่า รถยนต์ BMW คันที่สนใจนี้ผ่านการซ่อมแซม หรือใช้งานมาอย่างไรบ้าง

3. ตรวจเช็กเครื่องยนต์ให้ละเอียด

ข้อดีของ BMW มือสอง นอกจากจะได้รับความคุ้มครองจากแพ็กเกจ BSI แล้ว หากตรวจสอบเครื่องยนต์ให้ละเอียดก่อนซื้อ ทุกคนเองก็สามารถสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่เหนือระดับจากการขับขี่รถยนต์ BMW ได้เช่นกัน หากยังไม่แน่ใจว่าจะตรวจเช็กเครื่องยนต์เบื้องต้นอย่างไร ลองมาเริ่มเช็กได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอน ดังนี้

1. ตรวจสอบของเหลวซึมบริเวณส่วนสำคัญของเครื่องยนต์ เช่น รอยต่อ เครื่องยนต์ ท่อน้ำ ไปจนถึงท่อแอร์

2. เช็กการดัดแปลงระบบ ท่อ และสายไฟภายในเครื่อง ทำได้ด้วยการเทียบกับ BMW รุ่นเดียวกัน

3. เช็กความลื่นไหลในการเปลี่ยนเกียร์ กดเบรก ตลอดจนความสั่นของเครื่องยนต์ที่สัมผัสได้ในห้องโดยสาร

4. เช็กช่วงล่างก่อนตัดสินใจซื้อ

BMW เป็นรถยนต์ยุโรปที่มาพร้อมกับช่วงล่างที่แข็งแรง ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งในระหว่างการเลือกซื้อ BMW มือสอง อย่าลืมตรวจเช็กสภาพช่วงล่างของ BMW ร่วมด้วย

สำหรับใครที่ไม่มีความรู้ด้านช่วงล่างรถยนต์มาก่อน ขอแนะนำให้ลองสังเกตจังหวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการขับดู ไม่ว่าจะเป็นการสั่นสะเทือนของช่วงล่าง เสียงแปลก ๆ จากจังหวะเบรก การเร่งเคลื่อน ตลอดจนการเคลื่อนตัวไปตามถนนประเภทต่าง ๆ ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสอบถึงลูกหมาก ตลอดจนความรู้สึกในจังหวะเลี้ยวของพวงมาลัย

5. อย่าลืมลองสตาร์ตรถยนต์และลองขับดู

เช่นเดียวกับการซื้อรถยนต์มือสองทุกคัน ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อ BMW มือสองทุกครั้ง สิ่งสำคัญที่ห้ามลืม คือ การสตาร์ตรถยนต์และลองนำออกไปขับดู ซึ่งการนำรถยนต์ออกไปวิ่งตามท้องถนนในระยะเวลาต่าง ๆ สามารถช่วยให้เห็นถึงความผิดปกติของเครื่องยนต์และช่วงล่างได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญ ยังช่วยทำให้ใครหลายคนได้ทดสอบความชอบของตัวเอง ทำให้ได้เลือก BMW รุ่นที่ตอบโจทย์ความต้องการได้มากที่สุดด้วย

แม้สิ่งที่นำมาฝากจะมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาหลายด้าน แต่หากทำได้อย่างครบถ้วน การเลือกซื้อ BMW มือสองให้ตอบโจทย์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สำหรับเจ้าของรถยนต์ BMW คนไหนที่ต้องการส่งต่อ BMW คันเก่าให้แก่ผู้ที่สนใจ หรือใครกำลังตามหา BMW รุ่นที่ต้องการอยู่ แน๊ต ดีดีคาร์ พร้อมให้บริการรับซื้อรถบีเอ็มมือสองทุกรุ่น ให้ราคาสูง ซื้อง่าย ไม่ผ่านนายหน้า ไม่กดราคา รับเงินสดทันที 15 นาทีหลังตกลงซื้อขายเสร็จ รับซื้อทั่วประเทศตลอด 24 ชั่วโมง สอบถามเพิ่มเติมที่เบอร์ 091-492-2662