การเพิ่มขึ้นของยอดผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า(EV)ที่กำลังเติบโตในไทย เห็นได้จากการลงทะเบียนจองรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 3,000 คันภายในงาน MotorExpo ปีล่าสุด จากความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดยานยนต์ไทยที่กำลังพัฒนา ทำลายสถิติใหม่สำหรับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก ทำให้การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้ามือสองกำลังได้รับความนิยมสูงเช่นกัน
ก่อนซื้อรถมือสองควรทำยังไงบ้าง
ราคารถยนต์ไฟฟ้ามือสองเทียบกับมือหนึ่ง ?
รถยนต์ไฟฟ้ามือหนึ่งทั่วไปมักราคาไม่แตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้ามือสองมากนัก โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ไฟฟ้ามือหนึ่งจะมีราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 400,000 ถึง 500,000 บาทสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประเภทซีดานระดับกลางทั่วไป ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ามือสองที่ใช้มาประมาณ 5 ปี ราคาจะถูกลดลงที่ 25% หากแต่สิ่งที่คุณควรคำนึงคือด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และระยะวิ่งที่ถูกจำกัด ดังนั้น หากคุณพึงพอจะสำหรับเม็ดเงินที่สามารถประหยัดได้ประมาณ 1/4 ของราคารถยนต์เต็มซึ่งแลกกับข้อด้อยด้านระยะวิ่งและการรองรับเทคโนโลยีใหม่สำหรับแบตเตอรี่ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ
รถยนต์ไฟฟ้ามือสองถูกกว่ารถยนต์น้ำมัน ?
แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ามือสองอาจมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าที่ต้องจ่ายสูงกว่ารถยนต์มือสองประเภทเครื่องยนต์สันดาปทั่วไป แต่ให้ พิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง การบำรุงรักษา และความประหยัดที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว เพราะ ค่าบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้าโดยทั่วไปจะต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อน ดังนั้น ข้อควรพิจารณาสำหรับการเลือกซื้อรถยนต์มือสองที่สำคัญอีกประการคือ การศึกษาค่าบำรุงรักษาระยะยาวของรถยนต์ไฟฟ้า
6 ข้อควรรู้ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสอง
1. เช็คแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก่อนเสมอ
แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า(EV) ได้รับการออกแบบให้มีอายุการใช้ประมาณ 10 ปีขึ้นไป โดยมักมีการรับประกันแบตเตอรี่จากผู้ผลิตอย่างน้อย 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร ปกติแล้วการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากแต่มีผู้กำลังสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามือสองจำนวนมากมีความกังวลเกี่ยวกับสภาพแบตเตอรี่ ดังนั้น เราแนะนำให้คุณสอบถามถึงระยะเวลาประกันแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าให้ชัดเจน และทดสอบประสิทธิภาพของแบตเตอรี่(SOH) อาจมีบางกรณีที่แบตเตอรี่ถูกเปลี่ยน คุณจำเป็นจะต้องดูเอกสารประกอบการซื้อขายเสมอ โดยดูช่วงประมาณของการชาร์จไฟเต็ม และอ่านรายงานสภาพแบตเตอรี่ที่คอมพิวเตอร์รถยนต์ ซึ่งโดยทั่วไปรถยนต์ไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่ 12 โวลต์ เป็นต้น
2. สอบถามถึงประวัติซ่อมและการบำรุงรักษา
เราแนะนำให้สอบถามโดยตรงกับเจ้าของคนก่อนหรือตัวแทนจำหน่ายเกี่ยวกับประวัติการเข้าซ่อมแซมและการบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้ามือสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบันทึกการบริการที่ผู้ขายสามารถเปิดเผยได้ อย่างไรก็ดี รถยนต์ไฟฟ้าต้องการการบำรุงรักษาค่อนข้างน้อย นอกจากการสลับยางและการเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนตามปกติ ดังนั้น คุณอาจได้รับใบเสร็จเพื่อตรวจสอบไม่กี่รายการ แม้แต่ระบบเบรก รถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะใช้งานได้นานกว่ารถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาปพอสมควร เนื่องจากระบบมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยชะลอความเร็วของรถและนำประจุไปที่สะสมพลังงานภายในแบตเตอรี่รถยนต์เสมอ
3. เลือกระยะวิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการ
รถยนต์ไฟฟ้ายุคแรกที่ผลิตขึ้น จะมีระยะวิ่งประมาณ 100 กม. ต่อหนึ่งรอบชาร์จไฟ หากแต่ในปัจจุบัน Tesla Model S สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 1,200 กิโลเมตร ในการชาร์จเพียง 1 ครั้ง และรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่กว่าในอนาคตมีแนวโน้มที่จะเกินจำนวนดังกล่าวไปอีกมาก
4. เวลาชาร์จไฟแต่ละรุ่นไม่เท่ากัน
รถยนต์ไฟฟ้ามีระยะเวลาในการชาร์จไฟในอัตราที่แตกต่างกัน สำหรับรุ่นที่มีปริมาณแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าย่อมหมายถึงเวลาชาร์จที่เพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf ใช้เครื่องชาร์จ DC CHARGER ชาร์จพลังงาน 0% – 100% ใช้เวลาประมาณ 6 ชม. หากแต่ Tesla Model 3 ใช้ DC CHARGER ชาร์จพลังงาน 100% ใช้เวลาเพียงประมาณ 56 นาที ซึ่งยิ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ แบตเตอรี่จะชาร์จไฟได้เร็วมากขึ้นตามการพัฒนาของเทคโนโลยี ณ ขณะนั้น
5. อย่าลืมถามถึงตู้ชาร์จ
เมื่อคุณได้เลือกรถยนต์ไฟฟ้ามือสองรุ่นที่สนใจได้แล้ว เราแนะนำให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ขายมีตู้ชาร์จไฟ(Wall Charger)หรือเครื่องชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมกับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือหนึ่งมาด้วยหรือไม่ เพราะอุปกรณ์ชาร์จไฟเป็นสินค้าที่ราคาแพง ดังนั้น การตรวจสอบสายชาร์จที่ควรแถมมาด้วยกับรถยนต์ไฟฟ้ามือสองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะรักษาผลประโยชน์และประหยัดเงินคุณได้จำนวนหนึ่ง
6. การจัดไฟแนนซ์รถยนต์ไฟฟ้า มือสอง
รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง มักนิยมซื้อดาวน์หรือถูกขายเป็นเงินสดเป็นหลัก แตกต่างกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมือสองที่มักขายโดยจัดไฟแนนซ์ร่วมด้วย โดยทั่วไปแล้วการจัดไฟแนนซ์จะพิจารณาจากยี่ห้อรถยนต์ รุ่นและปีที่ผลิต ตลอดจนสภาพของรถยนต์ และขนาดของเครื่องยนต์ หากแต่ รถยนต์ไฟฟ้าบริษัทไฟแนนซ์จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพของแบตเตอรี่เพิ่มเติมเป็นปัจจัยสำคัญกับการประเมิณราคายอดจัดและอัตราดอกเบี้ย ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นจะต้องติดต่อบริษัทไฟแนนซ์เป็นกรณีเฉพาะในปัจจุบัน โดยมักสร้างความยุ่งยากในการประเมิณราคาจากข้อมูลของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ยังไม่เพียงพอในไทย ดังนั้น หากคุณเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามือสองและต้องการจัดไฟแนนซ์ ควรติดต่อและปรึกษาผู้ให้บริการไฟแนนซ์ก่อนเสมอ
ประกาศโฆษณาที่แนะนำ
2023 MG Maxus9 V Van
2,194,750 บาท
2,000,000 บาท
2023 Porsche Taycan 4S Seden
1,247,000 บาท
1,055,000 บาท
2021 Porsche Taycan Turbo Sedan
7,249,500 บาท
6,599,000 บาท